ข่าวรถยนต์ใหม่ในประเทศ


จีเอ็มเผยโฉมรถต้นแบบ ปิกอัพ “โคโลราโด ใหม่-All new colorado” ครั้งแรกของโลกในไทย


กรุงเทพฯ 21มี.ค.-จีเอ็ม และ เชฟโรเลต(ประเทศไทย) จัดงานเปิดตัวรถต้นแบบปิกอัพ “โคโลราโด ใหม่-All new colorado” ก่อนจะนำมาเปิดตัวสู่สายตาชาวไทยอยากเป็นทางการครั้งแรกในงาน “บางกอก มอเตอร์โชว์ 2011” ซึ่งจะเปิดรอบวีไอพีวันแรก 23 มีนาคมนี้ ส่วนรอบบุคคลทั่วไปเริ่ม 25 มีนาคม – 5 เมษายน 2554 ซึ่งเป็นการเปิดตัวครั้งแรกของโลก

ต้นแบบ  “เชฟโรเลต โคโลราโด ใหม่-New chevrolet colorado”

ต้นแบบ  “เชฟโรเลต โคโลราโด ใหม่-New chevrolet colorado” เปิดตัวด้วยรูปทรงที่บึกบึนดูแข็งแกร่งสไตล์กระบะสายพันธ์อเมริกัน ตัวถังแบบเอ็กซ์เทนเดด-แค็บ หรือแบบ 2 ประตูพร้อมแค็บและที่นั่งด้านหลังคนขับ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ยกสูง สะดุดตาด้วยล้ออลูมิเนียมขนาด 20 นิ้วและยางแบบออฟโรด พร้อมสมรรถนะแห่งความแรงอันยอดเยี่ยมด้วยขุมพลังดีเซลเทอร์โบขนาด 2.8 ลิตร ให้แรงบิดต่อเนื่องตอบสนองทุกการใช้งาน
เชฟโรเลต โคโลราโด ใหม่-New chevrolet colorado
ต้นแบบ “เชฟโรเลต โคโลราโด ใหม่-New chevrolet colorado”
      
สำหรับ โคโลราโด ใหม่(new colorado)ได้รับการออกแบบจากทีมวิศวกรของจีเอ็ม ซึ่งได้เข้ามาศึกษาตลาดรถกระบะเมืองไทยอยู่นานหลายเดือน โดยได้เรียนรู้ ศึกษาการใช้งานรถรถกระบุของลูกค้าชาวไทย ตลอดจนสำรวจคุณภาพท้องถนนเกือบทั่วประเทศไทย เพื่อให้แน่ใจว่าปิกอัพรุ่นใหม่นี้จะตรงกับความต้องการของลูกค้าชาวไทยมากที่สุด
การออกแบบของรถต้นแบบโคโลราโดใหม่(new colorado) นี้ได้นำเสนอความแข็งแกร่งของรถออกมาทางตัวถังที่มีขนาดใหญ่และมั่นคง ด้านหน้าโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์กระจังหน้าสองชั้น และโลโก้สีทองของเชฟโรเลต ทำให้ดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ พร้อมไฟหน้าที่พาดเฉียงขึ้นไปบนฝากระโปรงรถ ซึ่งเชื่อมต่อกับซุ้มล้อขนาดใหญ่ดูทรงพลัง
ในขณะที่สีสันของตัวถังด้านหน้ารถเลือกใช้สีเมทัลลิกชนิดพิเศษที่เรียกว่า ‘เปปเปอร์ดัสต์’ ตัดกับอลูมิเนียมขัดเงา เข้าคู่กับบันไดด้านข้างที่เป็นส่วนประกอบหนึ่งของตัวรถ การออกแบบกรอบไฟหน้าโคมดำพร้อมหลอดไฟแบบแอลอีดี (LED)เช่นเดียวกับไฟท้ายแบบแอลอีดี(LED) ช่วยให้      

การออกแบบตัวถังภายนอกส่วนอื่น ประกอบด้วย

  • การออกแบบช่วงแค็บที่ไหลลื่น พร้อมปิดกระบะท้ายสีเดียวกับตัวถังรถ
  • แถบสีเทาเข้ม พาดผ่านด้านหน้า ด้านข้าง และด้านท้ายรถ
  • ล้ออลูมิเนียมขนาด 20 นิ้ว สีเทาเข้ม ตกแต่งแบบ “ลิควิด เมทัล”
  • ยางออฟโรด คูเปอร์ ซีออน แอลทีแซด ขนาด 285/50 R20
  • กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแอลอีดี
          
ภายในห้องโดยสารยังคงออกแบบโดยยึดหลักดูอัล-ค็อกพิท ที่เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเชฟโรเลตที่เน้นความสมดุลลื่นไหลตลอดคอนโซลหน้าไปจนถึงแผงข้างประตู มีการแทรกดีไซน์แบบบิดโค้งเพื่อเพิ่มความล้ำสมัย แสงไฟในห้องโดยสารสีฟ้าไอซ์บลู เบาะหนังตัดเย็บอย่างพิถีพิถัน เน้นให้เห็นสัมผัสของความสะดวกสบาย กว้างขวาง และรื่มรมย์ตลอดการเดินทาง
โคโลราโด ใหม่
ภายในโคโลราโด ใหม่
การแตกแต่งเน้นโทนสีต่างเพิ่มความหรูหรา เบาะหนังสีอ่อนตัดกับลายไม้สีเข้มและโครเมียม พร้อมพื้นผิวที่ไม่มีความมันมากนัก และวัสดุอื่นๆที่ให้สัมผัสอ่อนนุ่ม ช่องเก็บของหลากหลายขนาดถูกติดตั้งทั่วห้องโดยสาร รวมถึงช่องเก็บของที่มีฝาปิดมิดชิดเพื่อเก็บของมีค่าและช่องเก็บของขนาดใหญ่บริเวณคอนโซลด้านหน้าแบบสองชั้นแสดงความหรูหราและตัวตนของเจ้าของรถ ตลอดจนช่วยสร้างความรู้สึกแบบพรีเมียมให้ผู้โดยสารแทบทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ในการอำนวยความสะดวกครบครัน ระบบปรับอากาศแบบแยกส่วน และระบบให้ความบันเทิงแบบ “อินโฟเทนเมนท์” เป็นเทคโนโลยีล่าสุดของเชฟโรเลต โคโลราโด ส่วนคอนโซลกลางติดตั้งหน้าจอแอลซีดีขนาด 7 นิ้วสำหรับระบบนำทางเนวิเกเตอร์ พร้อมฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อเว็บไซต์ การปรับเลือกเพลง และการใช้งานโทรศัพท์แบบแฮนด์ฟรี
เชฟโรเลต โคโลราโด ใหม่
เชฟโรเลต โคโลราโด ใหม่
      
…เตรียมพบกับ ต้นแบบ “เชฟโรเลต โคโลราโด-New chevrolet colorado” ใหม่ ในงานบางกอกมอเตอร์ 2011 สำหรับการจำหน่ายจริงในตลาดบ้านเราคาดว่าไม่น่าจะเกินไตรมาส 3 ปีนี้
________________________________________________________________________

มาสด้า 3 ใหม่ (All New Mazda 3)…เปลี่ยนทุกคำจำกัดความที่เคยมี


ในที่สุดก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการสักที สำหรับรถคอมแพ็คคาร์จากค่าย ซูม ซูม-Zoom Zoom นั่นก็คือ All New Mazda 3ที่ก่อนหน้านี้ก็มีภาพหลุดการวิ่งทดสอบในเว็บไซต์ต่างๆไปพอสมควร
สำหรับ All New Mazda 3 มาพร้อมกับความลงตัวของการออกแบบที่ยังคงรักษาความเป็นรถสปอร์ตเช่นเดียวกับรุ่นก่อน แต่สำหรับ All New Mazda 3 มีการเพิ่มเส้นสายที่ดูเป็นสปอร์ตมากกว่ารุ่นก่อน ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้วยเส้นสายที่มีส่วนโค้ง ส่วนเว้ามากกว่ารุ่นเดิมที่ถ่ายทอดมาจากรถคอนเซปต์ของค่าย
All New Mazda 3
All New Mazda 3
เส้นสายการออกแบบที่ถูกถ่ายทดสืบต่อมาครั้งนี้ได้มุ่งเน้นการออกแบบในแนว Center Focus  หรือ รวมศูนย์กลาง ที่จะพบได้ตั้งแต่ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเบิกบาน(อันนี้ผมชอบมาก..เพราะเหมือนกับให้ความรู้สึกกับผู้คนที่พบเห็นว่า…คนขับรถกำลังขับรถด้วยความรู้สึกที่สุข เบิกบาน..(ความเห็นส่วนตัว)) ที่ผสานเข้ากับเส้นสายการที่มุ่งเน้นความสปอร์ต
All New Mazda 3  มาพร้อมโคมไฟหน้า Projector  แบบ  bi-xenon  พร้อมระบบเปิด-ปิดและปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ  ที่ช่วยในการส่องสว่างได้ระยะไกลหว่าและครอบคลุมพื้นที่ด้านหน้าได้มากกว่าเดิม ทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ยามค่ำคืน มองเห็นได้อย่างชัดเจน ให้ความปลอดภัย  พร้อมกับไฟท้ายแบบ  LED  รูปทรงสปอร์ต  ระบบกุญแจ Smart Keyless Entry เปิด-ปิดประตูโดยไม้ต้องใช้กุญแจหรือรีโมท  ล้ออัลลอยขนาด 17  นิ้ว และยิ่งพิเศษเข้าไปอีกที่ในรุ่น 5  ประตูยังที่มาพร้อมซันรูฟเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า หนึ่งเดียวในตลาดรถกลุ่มคอมแพ็คคาร์
All New Mazda 3
All New Mazda 3

การออกแบบภายใน All New Mazda 3   

สำหรับภายในห้องโดยสารของ All New Mazda 3  ก็ยังเน้นหนักการออกแบบที่ยังพุ่งเป้าไปที่การรวมศูนย์ ที่ยังมาพร้อมความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความลงตัวและงายในการใช้งานต่อคนขับ ที่ไม่ต้องละสายตาจากท้องถนน ที่มาพร้อมพวงมาลัยมัลติฟังชั่นและคอนโซลกลาง ที่รวมทุกอย่าเอาไว้ครบครัน ที่คันเกียร์อัตโนมัติมาพร้อมลักษณะขั้นบันไดใช้งานง่ายยิ่งขึ้น
ภายในของมาสด้า 3 ใหม่
ภายในของมาสด้า 3 ใหม่
พร้อมความสะดวกสบายด้วยมระบบแอร์อัตโนมัติสามารถปรับแยกได้ตามความต้องการ ซ้าย-ขวา และเบาะหลังที่สามารถปรับพับได้  60:40 และเบาะคู่หน้าโอบกระชับแบบ  Bucket seat
ในขณะที่มาตรวัดก็ออกแบบมาใหม่หมดจด แบบเรืองแสงสีส้มอำพัน ตัดกับสีน้ำเงินสว่าง แบบวงกลมคู่ มองเห็นได้อย่างชัดเจน ดูสวยงามและอ่านง่ายด้วยการออกแบบแบบ  hoodless Design พร้อมระบบ Push Start Button เพียงปลายนิ้วสัมผัส  
มาตรวัดใหม่ มาสด้า 3 ใหม่
มาตรวัดใหม่ มาสด้า 3 ใหม่
นอกจากนี้มาสด้า3 ใหม่ ได้ออกแบบระบบไฟต้อนรับ หรือ Welcom Light System ในห้องโดยสาร โดยทำงานเมื่อเปิดประตู ไฟคอนโซลกลางและประตูจะค่อยๆสว่างขึ้น ตามมาด้วยไฟควบคุมเครื่องเสียงจะสว่างขึ้น ไฟระบบควบคุมอากาศค่อยๆสว่างขึ้น หลังจากนั้นระบบไฟทั้งหมดจะค่อยๆดับลงตามลำดับ เมื่อทำการสตาร์ทรถ หน้าจอแสดงผลกลางจะค่อยๆสว่างขึ้น และไฟหน้าปัทม์จะค่อยๆสว่างขึ้น เมื่อดับเครื่องยนต์ จอแสดงผลกลางค่อยๆ สว่างขึ้น และค่อยๆดับลงตามลำดับ 
สำหรับสีภายในมีให้เลือก 2 แบบคือ ในของรุ่น 5 ประตู จะใช้สีดำตัดเมทัลลิคที่คอนโซลหน้า สะท้อนความสปอร์ตเต็ม และสีทูโทน เบจ-ดำ ในรุ่นซีดาน มีความหรูหราแบบสปอร์ต

สมรรถนะใหม่ของ All New Mazda 3  

สำหรับสมรรถนะของ All New Mazda 3   เปิดตัวด้วยเครื่องยนต์บล็อกกลางขนาด 2.0  ลิตร(เฉพาะในประเทศไทย) ที่มาพร้อมพละกำลังสูงสุด 147  แรงม้าที่ 6500 รอบต่อนาที จากโรงงาน ในขณะที่แรงบิดมากถึง 182  นิวตันเมตร ที่ 4000  รอบต่อนาที  ที่จับคู่พร้อมระบบเกียร์ 5 EAT -Activematic  ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อม Paddle Shift ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ตามต้องการ พร้อมระบบการควบคุมการทรงตัว DSC ให้ความมั่นทุกการเข้า
นอกจากนี้การออกแบบ All New Mazda 3  ยังช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม ที่ตัวถังมีค่าสัมประสิทธิเสียดทายเพียง 0.28  เท่านั้น  ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนารถสปอร์ต เรียกว่า “เทคโนโลยีไลต์เวท” (Lightweight Technology) จึงสามารถลดน้ำหนักส่วนเกินที่ไม่จำเป็นของรถลง  แต่ช่วยให้สมรรถนะของรถดีขึ้น ขณะเดียวกันช่วยให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม 3%
สำหรับช่วงล่างยังคงให้มาเหมือนเดิมตามแบบฉบับ Zoom Zoom โดยด้านหน้าเป็นแบบ อิสระแมคเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และเพิ่มจุดยึดบังคับเลี้ยว จาก 2 จุด เป็น 3 จุด พร้อมทั้งขยายจุดยึดช่วงล่างเพิ่มเพื่อความมีเสถียรภาพที่ดียิ่งขึ้น
ในขณะที่ด้านหลังเป็นอิสระแบบมัลติลิ้งค์พร้อมเหล็กกันโคลง โดยมีการทำให้แข็งแกร่งขึ้น และใช้วัสดุพิเศษที่มีน้ำหนักลดลง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับรถสปอร์ต และขยายจุดยึดเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความเสถียรภาพในการขับขี่

ระบบความปลอดภัย All New Mazda 3     

ในเรื่องความปลอดภัย All New Mazda 3 ก็จัดมาให้เต็มพิกัด ด้วยการผ่านการรับรองการชนระดับ  5  ดาวของ Euro NCAP  และ AU NCAP  และด้วยโครงสร้างของรถที่ได้รับการออกแบบให้ส่วนที่รับแรงกระแทกมาพร้อมเหล็ก High tension  ที่ควบคู่กับตัวถัง  MAIDAS  พร้อมกับระบบป้องกันอุบัติเหตุอื่นๆตั้งแต่ดิสก์เบรก 4  ล้อพร้อมระบบป้องกันล้อล็อค ABS  เสริมความมันใจผ่ายการกระจายแรงเบรก EBD  ที่ยังมีระบบควบคุมการทรงตัว DSC  และป้องกันการลื่นไถลผ่าน Traction control
และถุงลมนิรภัยคู่หน้าจะรับหน้าที่ในการปกป้องผู้โดยสารในรถ ที่ทำงานคู่กับเข็มขัดนิรภัย 3  จุด นอกจากนี้ทีแป้นเบรกก็สามารถยุบตัวได้อัตโนมัติช่วยปกป้องผู้ขับขี่ ในขณะที่ยังมีคานเหล็กนิรภัยช่วยรับแรงกระแทงและป้องกันผู้โดยสารจากการชนด้านข้างอีกด้วย
_________________________________________________________________________

ดีเดย์ 17 มี.ค. ฮอนด้า เปิดตัวอีโคคาร์ “บริโอ้-brio”


บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด แจ้งหนังสือเชิญสื่อมวลชนว่า  บริษัทฯจะแถลงข่าวแนะนำรถยนต์ ฮอนด้า บริโอ้ ซึ่งจะเปิดตัวครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทย ในโอกาสนี้ มร. อาซึชิ ฟูจิโมโตะ ประธาน บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด และผู้บริหารจากฮอนด้าประเทศญี่ปุ่นและไทย จะร่วมชี้แจงข้อมูลของฮอนด้า บริโอ้ (honda brio) ทั้งด้านนวัตกรรมและแผนการตลาด และเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คู่สุดฮ็อตแห่งปี ในวันที่ 17 มีนาคม 2554 เวลา 14.00-16.00 น.  รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน
ทั้งนี้พรีเซ็นเตอร์คู่ฮอตที่ฮอนด้าจะนำมาใช้โปรดมตฮอนด้าบริโอ้ (honda brio) ได้แก่ “หมาก” ปริญ สุภารัตน์ และ”ญาญ่า” อุรัสยา เสปอร์นันด์ พร้อมตั้งเป้า “100,000 คัน” ในปีแรก โดยฮอนด้าได้วางตำแหน่งของบริโอ้ว่าเป็นอีโคคาร์ที่มีความเหนือกว่าคู่แข่ง ให้มากกว่าพื้นฐานความต้องการอีโคคาร์ทั่วไป ด้วยการเน้นการออกแบบให้สปอร์ต ขับสนุก เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอารมณ์และจิตใจด้วยความเป็นแบรนด์ของ “ฮอนด้า” และเพื่อให้ “บริโอ้” เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ตอบสนองการใช้งานในเมืองอย่างแท้จริง ภายใต้แนวคิด Urban Practical Small
ฮอนด้า บริโอ้(honda brio)
ฮอนด้า บริโอ้(honda brio)
ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของฮอนด้า บริโอ้ (honda brio) คือกลุ่มผู้ชายและผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 18-35 ปี สถานภาพโสดหรือแต่งงานในสัดส่วนเท่า ๆ กัน คือ 50/50 ประกอบอาชีพ พนักงานบริษัท, ข้าราชการ, นักศึกษา, แม่บ้าน, กลุ่มผู้เกษียณ และมีรายได้ต่อครอบครัวที่ 15,000-25,000 บาท
พร้อมทั้งวางตำแหน่งของรถให้อยู่ในอันดับ 1 ของรถประเภทรถยนต์นั่งขนาดเล็ก หรือเอเซ็กเมนต์ เหนือกว่านิสสัน มาร์ช, เกีย ปิแคนโต้, โปรตอน แซฟวี่, นาซ่า ฟอร์ซ่า และเฌอรี่ คิวคิว
สำหรับสมรรถนะของเครื่องยนต์ฮอนด้า บริโอ้(honda brio) มาพร้อมกับเครื่องยนต์ SOHC i-VTEC 1.2 ลิตร 90 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 110 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที ต่างจากนิสสัน มาร์ช ที่ให้กำลังแค่ 79 แรงม้า ระบบเกียร์ธรรมดา ซินโครเมท 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ใหม่  ที่พัฒนานำเอาระบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์มาใช้ พร้อมด้วยระบบล็อกอัพคอนโทรลที่พัฒนาขึ้นใหม่ ช่วยถ่ายทอดกำลังได้เต็มที่ โดยฮอนด้า บริโอ้มีแรงม้าที่มากกว่านิสสัน มาร์ช ที่ให้กำลังแค่ 79 แรงม้า
ฮอนด้า บริโอ้(honda brio)
ฮอนด้า บริโอ้(honda brio)
พวงมาลัยแบบไฟฟ้า EPS ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีความแม่นยำ เพิ่มความคล่องตัวด้วยรัศมีวงเลี้ยวเพียง 4.5 เมตร ล้อขนาด 14 นิ้ว มีอัตราสิ้นเปลืองที่ 20 ก.ม./ลิตร ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย UNECE 94 และ 95 และสามารถรองรับน้ำมันอี 20  ที่สำคัญ มีอัตราสิ้นเปลืองที่ 20 ก.ม./ลิตร
ภายในห้องโดยสารเน้นความสะดวกสบาย พร้อมใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ เบาะนั่งดีไซน์ใหม่ สีทูโทนเบจ เบาะด้านหลังสามารถพับได้ 100% ที่เก็บของด้านท้ายมีความจุถึง 175 ลิตร ที่หน้าปัดเป็นแบบมาตรวัด 3 วง แบบสปอร์ต พร้อมไฟแสดงผลการขับอีกแบบที่ประหยัด eco หากเครื่องยนต์และความเร็วคงที่ เครื่องเสียงเชื่อมต่อ USB และ AUX พร้อมแสดงข้อความ “WELCOME” “TO” “HONDA”
นอกจากนี้เครื่องเสียงที่บริโอ้(honda brio)สามารถบันทึกคลื่นสถานีเอฟเอ็ม 30 คลื่น เอเอ็ม 30 คลื่น เชื่อมต่อ USB และ AUX ขณะที่คู่แข่งมีน้อยกว่า รวมถึงพื้นของกระจกมองข้าง กระจกบังลมหน้า บังลมหลังขนาดใหญ่ พร้อมลดการปรับองศากระจกด้านข้างคู่หน้าให้ลาดเอียงเพิ่มขึ้น เพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่
honda brio
honda brio ภาพจาก http://hondabrio-club.com/
สำหรับฮอนด้า บริโอ้ (honda brio) มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น คือรุ่นเอส เกียร์ธรรมดา รุ่นวี เกียร์ธรรมดา และรุ่นท็อป หรือรุ่นวี เกียร์อัตโนมัติ มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี คือขาวทาฟเฟต้า เงินอลายาสเตอร์ (เมทัลลิก) ดำคราตัล (มุก) ฟ้าเซรูเลียน (เมทัลลิก) และสีใหม่ เขียวเฟรชไลน์ (เมทัลลิก)


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์(New Mitsubishi Lancer EX)


ในที่สุดก็ต้องจัดการไมเนอร์เชนจนได้ สำหรับ “แลนเซอร์ อีเอ็กซ์” ของค่ายมิตซูบิชิ หลังจากที่ต้องถือว่า “แป๊ก” กับยอดขายก่อนหน้านี้ เพราะถ้าดูจากรูปลักษณ์และสมรรถนะของรถแล้วถือว่าเป็นรถที่น่าคบอีกรุ่นหนึ่ง  แต่กับยอดขายที่ออกมาทางค่ายรถคงจะรู้คำตอบอยู่แล้ว  โดยเฉพาะกับราคาและออปชั่นที่ให้ก่อนหน้านี้..ต้องบอกว่า..ไม่สมศักดิ์ศรี
สำหรับการปรับใหม่ในครั้งนี้…กับออปชันที่เพิ่มขึ้นมาและเปิดราคาใหม่โดยเริ่มต้นที่ 794,000 บาท ต้องถือว่ายั่วน้ำลายมากกว่าเก่า  งานนี้ลูกค้าที่ซื้อไปก่อนหน้านี้ก็ต้องร้องเพลงปลอบใจตัวเองไป
New Mitsubishi Lancer EX
มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่(New Mitsubishi Lancer EX )

“แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ (New Mitsubishi Lancer EX) เผยเสน่ห์ เร้าใจในตัวคุณ”

Fascinating Style… ดีไซน์ที่ปลุกทุกอณูความรู้สึก ให้ขับเคลื่อนไปกับความเร้าใจ
สำหรับรูปลักษณ์ภายนอก มีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยในรุ่น GT  มาพร้อมดีไซน์ ที่โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าใหม่   ลงตัวกับไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์แบบ Bi-Xenon  ชุดแต่งสไตล์สปอร์ตรอบคัน  แผงครอบใต้กันชนหลัง  รวมไปถึงล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว แบบ  Dark Gray ที่ช่วยเพิ่มความเท่ห์ไปอีกขั้น
และสำหรับรุ่น GLS Ltd.  และ GLX  นั้น รุ่น GLS Ltd.  มีการเพิ่มแผงครอบช่องดักลมกันชนหน้า  คิ้วตกแต่งชายฝากระโปรงท้ายแบบโครเมียม ที่เปิดประตูด้านนอกแบบโครเมียม   และล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 16 นิ้วทั้งในรุ่น GLS Ltd. และรุ่น GLX  

การตกแต่งภายในแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่

สำหรับการตกแต่งภายในของรุ่น  GT จะเป็นโทนสีดำ คอนโซลหน้าแบบ Geometric ในขณะที่รุ่น GLS Ltd. มีให้เลือกทั้งโทนสีดำ พร้อมคอนโซลหน้าแบบ Geometric และ โทน สีเบจ พร้อมคอนโซลลายไม้แบบ Dark Brown Wood

ภายมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ รุ่น GT
ส่วนรุ่น GLS มาพร้อมการตกแต่งภายในโทนสีเบจ พร้อมคอนโซลลายไม้แบบ Bright Brown Wood 
New Mitsubishi Lancer EX
มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ ภายในสีเบส
ทั้งนี้ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่  ทุกรุ่นมาพร้อมมือจับประตูด้านในแบบโครเมียม  ในขณะที่รุ่น GLS Ltd. และรุ่น GT มีการติดตั้งชุดขอบและวงแหวนครอบสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิแบบโครเมียม  เพิ่มฝาปิดช่องเก็บของด้านหน้า รวมไปถึงที่วางแก้วน้ำพร้อมฝาปิดบริเวณคอนโซลกลางเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
New Mitsubishi Lancer EX GLS Console
New Mitsubishi Lancer EX,GLS Console
Fascinating Comfortable …ตอบสนองความต้องการที่ซ่อนอยู่ภายใน ตอบทุกการใช้งานอย่างชาญฉลาด
นอกจากนี้มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ใหม่ ยังเพิ่มความโดดเด่นให้กับตัวรถด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัย  โดยการติดตั้งอุปกรณ์อัจฉริยะเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่นำสมัยของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดตั้ง ระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS ที่ช่วยให้สามารถล็อกหรือปลดล็อก ประตู และฝากระโปรงท้าย รวมไปถึงสตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์ได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้กุญแจ พร้อมระบบป้องกันการโจรกรรม “อิมโมบิไลเซอร์”  โดยจะติดตั้งมาในรุ่น GLS Ltd เป็นต้นไป
แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่
มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ทุกรุ่นมาพร้อมมาตรวัดเรืองแสงใหม่แบบ Hi-Contrast   ที่ช่วยให้ง่ายต่อการอ่าน พร้อมจอแสดงผลข้อมูลอเนกประสงค์แบบ Twin type LCD Digital  แสดงผลข้อมูลได้หลายแบบ 
แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่
มาตราวัดแบบ Hi-Contrast ในแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่
พร้อมเพิ่มความสะดวกสบายยิ่งขึ้น(คนที่ซื้อไปก่อนคงจะทุบอกตัวเองแล้วตะโกนถามในใจด้วยความงุนงงว่า…ทำไมไม่ใส่มาตั้งแต่แรก..กับรถระดับนี้..ha) …ด้วยกระจกไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ ด้านคนขับ พร้อมระบบ Safety รวมไปถึงกระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า  รวมไปถึงระบบพับเก็บกระจกมองข้างอัตโนมัติเมื่อกดล็อกรถ นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบไฟสว่างอัตโนมัติเมื่อปลดล็อกรถ  (Welcome lighting) ซึ่งจะทำงานเมื่อกดปุ่มปลดล็อกบนกุญแจรีโมทคอนโทรล ไฟหรี่และไฟท้ายจะทำงานเป็นเวลา 30 วินาที  และ ระบบไฟนำทางหลังดับเครื่องยนต์ (Coming Home lighting) ซึ่งจะทำงานเมื่อหมุนสวิตซ์ชุดไฟหน้าไปที่ตำแหน่ง Off  แล้วบิดสวิตซ์กุญแจไปที่ตำแหน่ง Lock  ภายใน 60 วินาที  ก่อนดึงก้านไฟเลี้ยวเข้าหาตัวไฟหน้าใหญ่ตำแหน่งไฟต่ำจะทำงานเป็นเวลา 30 วินาที ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและปลอดภัยยิ่งขึ้น
ในขณะที่รุ่น  GLS Ltd.  และรุ่น GT มาพร้อมพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น เทคโนโลยีที่ตอบสนองทุกการเดินทางโดยสามารถเลือกปรับการใช้งานได้หลากหลายโดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัยทั้งระบบควบคุมเครื่องเสียง และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) เพื่อควบคุมความเร็วให้คงที่เพิ่มความสะดวกสบายและลดอาการเมื่อยล้าจากการขับขี่รถในระยะทางไกลๆ นอกจากนี้ ในรุ่น GT ยังคงมาพร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift)  ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ตามความต้องการ  
เพิ่มสุนทรียภาพในการขับขี่ยิ่งขึ้นด้วยจอภาพระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบนำทางอัตโนมัติ และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สายที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น GT พร้อมชุดอุปกรณ์ต่อพ่วง USB ในทุกรุ่น
Fascinating Performance and Safety…สมรรถนะแห่งความเร้าใจกับความปลอดภัยเหนือระดับ
มิตซูบิชิ แลนเซอร์ ใหม่  ให้สมรรถนะที่เหนือชั้นจากเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร FFV และ 2.0 ลิตร DOHC MIVEC ที่ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 4  ทำงานคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ  INVECS-III  CVT  อัตโนมัติ  6 จังหวะ  พร้อม Sport Mode ที่ให้สมรรถนะพร้อมการประหยัดน้ำมันที่เป็นเยี่ยม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่น 1.8 ลิตร ที่รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ทุกประเภทตั้งแต่เบนซินธรรมดาไปจนถึงแก๊สโซฮอล์ อี 85  ในขณะที่รุ่น 2.0 ลิตร รองรับได้ถึงแก๊สโซฮอล์ อี 20
New Lancer EX
New Lancer EX
นอกจากนี้ยังให้ความปลอดภัยจากโครงสร้างที่แข็งแกร่งพร้อมระบบความปลอดภัยที่ช่วยลดความเสียหายเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่เป็นเยี่ยม  รวมไปถึงระบบช่วงล่างที่ได้รับการพัฒนาใหม่ มีส่วนช่วยทำให้การทรงตัวและการตอบสนองของรถ รวมไปถึงความปลอดภัยที่เหนือกว่า   การปรับปรุงความปลอดภัยจากการรับแรงกระแทก รวมทั้งตัวถังนิรภัย RISE Body และระบบถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ถือเป็นระบบที่ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยและลดผลกระทบเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้อย่างทรงประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ มี 4 รุ่นให้เลือก เพื่อตอบสนองทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้า โดยมี 6 สีให้เลือก ประกอบด้วย สีแดงเมทัลลิก สีบรอนซ์เงิน   สีบรอนซ์ทอง สีเทาดำ สีดำ และสีขาว “ไวท์เพิร์ล” พร้อมราคาขายโดนใจ
1. มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์  1.8 MIVEC   GLX    ราคา      794,000  บาท *
2. มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์  1.8 MIVEC   GLS-Limited  ราคา    879,000  บาท* (ภายในสีดำ)
3. มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์  1.8 MIVEC   GLS-Limited  ราคา    879,000  บาท* (ภายในสีเบจ)
4. มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์  2.0 MIVEC   GT   ราคา 1,051,000  บาท *
* รุ่นสีขาว “ไวท์เพิร์ล” ราคาเพิ่มอีก 10,000 บาท